support category ssd
DC1500M U.2 NVMe SSD (SEDC1500M)

DC1500M Enterprise U.2 NVMe Solid-State Drive - การสนับสนุน

คำถามที่พบบ่อย

นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแฟลช ทั้งในกรณีของ SSD แบบภายในและไดรฟ์ USB แบบต่อพ่วง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตหน่วยความจำแฟลชและผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์แบบจานหมุนมีวิธีคำนวณเมกะไบต์ที่แตกต่างกัน ผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์คำนวณเมกะไบต์ (หรือ 1,000x1,000 ไบต์) เป็น 1,000KB ส่วนอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแฟลชคำนวณแบบไบนารีหรือก็คือ 1,024KB

ตัวอย่าง: สำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแฟลช 1TB Windows จะคำนวณความจุเท่ากับ 931.32GB (1,000,000,000,000÷1,024÷1,024÷1,024=931.32GB)

นอกจากนี้ Kingston ยังกันพื้นที่หน่วยความจำบางส่วนไว้ใช้ในการฟอร์แมตและวัตถุประสงค์อย่างอื่น เช่น เฟิร์มแวร์และ/หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวควบคุม ดังนั้นพื้นที่ส่วนนี้จึงไม่สามารถใช้จัดเก็บข้อมูลได้

FAQ: KDT-010611-GEN-06

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

หากต้องการตรวจสอบว่ากำลังใช้ไดรเวอร์ NVMe ตัวใดอยู่ สามารถเรียกใช้เครื่องมือเปรียบเทียบ AS SSD จากนั้นเลือก Kingston NVMe SSD ของคุณจากเมนูดรอปดาวน์ ระบบจะแจ้งไดรเวอร์ที่ไดรฟ์ดังกล่าวใช้งานอยู่ หากไดรเวอร์ที่ใช้คือ “iaStorAC” แสดงว่าไดรฟ์ของคุณกำลังใช้งานไดรเวอร์ Intel อยู่ หากไดรเวอร์ที่ใช้คือ “stornvme” แสดงว่าไดรฟ์ของคุณกำลังใช้งานไดรเวอร์ Microsoft หมายเหตุ: ไดรฟ์ NVMe ของ Kingston มาพร้อมคุณสมบัติ Plug and Play เราจึงไม่ได้จัดเตรียมไดรเวอร์เพิ่มเติม

FAQ: KSD-001525-001-00

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้ SSD ตัวใหม่กลายเป็นบู๊ตไดรฟ์ก็คือทำให้ SSD นั้นเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเพียงตัวเดียวในระหว่างการติดตั้ง
แต่หากทำแบบนั้นไม่ได้หรือหากคุณเคยโคลนข้อมูลเก่าไปยังไดรฟ์นั้นมาก่อน ยืนยันว่าไดรฟ์ใหม่ปรากฏเป็นอุปกรณ์บู๊ตใน BIOS ของระบบ จากนั้นเลือกไดรฟ์นั้นระหว่างการบู๊ตเครื่อง

FAQ: KSD-012010-001-03

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

อันดับแรก คุณควรตรวจสอบยืนยันก่อนว่าระบบมองเห็น SSD ใน BIOS โดยเข้าสู่ BIOS (ส่วนใหญ่ต้องใช้ปุ่ม Del, F2, F10 หรือ F12) จากนั้นไปที่เมนูการกำหนดค่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และดูว่าไดรฟ์ปรากฎอยู่หรือไม่และระบุอย่างถูกต้องหรือไม่  หากไม่มีไดรฟ์ปรากฏอยู่ ให้ปิดเครื่อง ตรวจสอบการติดตั้งและการเชื่อมต่อไดรฟ์ ยืนยันว่าไดรฟ์ติดตั้งเข้าที่ดีแล้วและ/หรือเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง

หากเจอไดรฟ์ใน BIOS คุณอาจจะต้องเริ่มการทำงานของไดรฟ์ภายในระบบปฏิบัติการ

สำหรับ Windows:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Windows OS
ขั้นตอนที่ 2: กดปุ่ม Windows + X แล้วเลือก Disk Management
ขั้นตอนที่ 3: หากเป็น SSD ใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้งาน หน้าต่างป๊อปอัปจะปรากฏขึ้นมา พร้อมข้อความ "Initialize Disk"
ขั้นตอนที่ 4: เลือกระหว่าง
MBR (Master Boot Record): เหมาะกับไดรฟ์ที่มีความจุไม่ถึง 2TB และอุปกรณ์แบบเก่า
GPT (GUID Partition Table): แนะนำสำหรับอุปกรณ์สมัยใหม่และไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่า 2TB
ขั้นตอนที่ 5: คลิก “OK” เพื่อเริ่มการทำงานของดิสก์
ขั้นตอนที่ 6: หลังจากเริ่มการทำงาน คุณจะเห็นว่า SSD ของคุณเป็น "Unallocated” ให้คลิกขวา แล้วเลือก New Simple Volume
ขั้นตอนที่ 7: ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อฟอร์แม็ตและกำหนดตัวอักษรระบุไดรฟ์ให้กับ SSD

สำหรับ Mac OS:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Mac OS
ขั้นตอนที่ 2: เปิด Disk Utility (โดยใช้ Spotlight ร่วมกับปุ่ม Cmd + Space จากนั้นพิมพ์ "Disk Utility")
ขั้นตอนที่ 3: เลือก SSD ของคุณจากแผงทางซ้ายมือ
ขั้นตอนที่ 4: คลิก Erase
ขั้นตอนที่ 5: ตั้งชื่อไดรฟ์ จากนั้นเลือกตัวเลือกต่อไปนี้ใต้ Format
APFS หากเป็น Mac รุ่นเก่าและ SSD
Mac OS Extended (Journaled) หากเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือ HDD
ขั้นตอนที่ 6: คลิก Erase หลังจากนั้น SSD ก็จะพร้อมใช้งาน

สำหรับ Linux:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Linux
ขั้นตอนที่ 2: เปิดเทอร์มินัล
ขั้นตอนที่ 3: ป้อนคำสั่ง sudo fdisk -l เพื่อแสดงไดรฟ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่ มองหา SSD ของคุณจากขนาดของไดรฟ์ แล้วจดชื่อของไดรฟ์ไว้ เช่น /dev/sdb
ขั้นตอนที่ 4: เริ่มการทำงานของไดรฟ์โดยใช้คำสั่ง fdisk หรือ parted ต่อไปนี้คือคำแนะนำเบื้องต้นในการใช้คำสั่ง fdisk:
ป้อน sudo fdisk /dev/sdb (แทนที่ /dev/sdb ด้วยชื่อไดรฟ์ SSD ของคุณ)
กด g เพื่อสร้างตารางพาร์ติชัน GPT ใหม่
กด n เพื่อสร้างตารางพาร์ติชันใหม่ ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อระบุขนาดและประเภทไดรฟ์
กด w เพื่อเขียนการเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนที่ 5: กำหนดรูปแบบพาร์ติชันใหม่บน SSD (เช่น /dev/sdb1) คุณสามารถกำหนดรูปแบบเป็นระบบไฟล์ที่ต้องการดังต่อไปนี้:
สำหรับ ext4: sudo mkfs.ext4 /dev/sdb1
สำหรับ ext3: sudo mkfs.ext3 /dev/sdb1
สำหรับ FAT32: sudo mkfs.vfat /dev/sdb1
ขั้นตอนที่ 6: ติดตั้งใช้งาน SSD:
สร้างจุดติดตั้งใช้งาน: sudo mkdir /mnt/myssd
ติดตั้งใช้งาน SSD: sudo mount /dev/sdb1 /mnt/myssd
อย่าลืมแทนที่ /dev/sdb1 ด้วยชื่อพาร์ติชันของ SSD

FAQ: KSD-012010-001-15

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

กล่องดิสก์แบบต่อพ่วงมีอยู่มากมายในท้องตลาด ถึงแม้ว่า Kingston จะต้องการให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานกับระบบทุกประเภท แต่บางครั้งผลิตภัณฑ์ของเราก็ใช้งานกับบางระบบไม่ได้ หากคุณประสบปัญหาในการใช้งานกล่อง SSD แบบต่อพ่วง คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นกล่องชนิดใหม่

FAQ: KSD-012010-001-18

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เฟิร์มแวร์ SSD คือซอฟต์แวร์ที่อยู่ใน SSD และทำหน้าที่จัดการการทำงานของไดรฟ์ รวมทั้งสื่อสารกับระบบโฮสต์ จัดเก็บและเรียกค้นข้อมูล ปรับระดับความสึกหรอให้เสมอกัน และแก้ไขข้อผิดพลาด Kingston แนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

หาก SSD ของคุณต้องอัปเดตเป็นเฟิร์มแวร์ล่าสุด คุณจะได้รับการแจ้งเตือนตอนที่เปิดซอฟต์แวร์ SSD Manager ของ Kingston ดูได้จากที่นี่: www.kingston.com/ssdmanager

FAQ: KSD-012010-001-11

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

คลิกที่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อแตกต่างของ SSD ทั้งสองชนิดนี้
https://www.kingston.com/blog/pc-performance/nvme-vs-sata

FAQ: KSD-012010-001-19

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เมื่อคุณโคลนข้อมูลไปยังไดรฟ์ใหม่ที่มีความจุมากกว่าไดรฟ์ต้นทาง ซอฟต์แวร์อาจจะคำนวณขนาดพาร์ติชันไม่ถูกต้อง หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สุดท้ายก็จะเหลือพื้นที่ที่ได้ไม่ได้นำมาใช้งาน หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โปรดทำตามคำแนะนำการโคลนของเราที่นี่: www.kingston.com/cloning

FAQ: KSD-012010-001-04

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

โปรดระวัง! วิธีลัดต่อไปนี้จะส่งผลต่ออาร์เรย์ RST RAID และอาจทำให้ข้อมูลสูญหายได้ หากเครื่องของคุณมีอาร์เรย์ RST RAID ให้พิจารณาทางเลือกอื่น

ทางเลือกที่ 1: ปิดใช้งาน RST Control จาก BIOS

วิธีนี้จะต้องปรับค่า BIOS เพื่อเปิดหรือปิดใช้งาน RST Control และไม่สามารถทำได้กับทุกเครื่อง

หมายเหตุ: โปรดสำรองข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดก่อนดำเนินการต่อ!

  1. รีสตาร์ทแล้วเข้าไปยัง BIOS เครื่อง
  2. ค้นหาการตั้งค่า RST Configuration จาก BIOS
  3. แก้ไข “RST Controlled” เป็น “Not RST Controlled”
  4. บันทึกแล้วออกจาก BIOS
  5. เปิด KSM แล้วอัพเดตเฟิร์มแวร์ของไดรฟ์

หลังจากทำตามขั้นตอนนี้แล้ว คุณสามารถเลือกสลับกลับไปที่ “RST Controlled” ได้ใน BIOS

ทางเลือกที่ 2: สลับจาก RAID เป็น AHCI ใน BIOS

วิธีการนี้ใช้เพื่อเปลี่ยนโหมดการจัดเก็บข้อมูลของเครื่องจาก RAID เป็น AHCI และควรจะใช้ได้กับทุกเครื่อง

หมายเหตุ: กรุณาสำรองข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดก่อนดำเนินการต่อ!

  1. เปิด msconfig
  2. เลือกแท็บ Boot
  3. เลือก Safe boot (minimal)
  4. คลิก OK แล้วทำการรีสตาร์ท
  5. เมื่อเครื่องรีสตาร์ทให้ไปที่ BIOS เครื่อง
  6. เปลี่ยนโหมดการจัดเก็บข้อมูลจาก RAID เป็น AHCI
  7. บันทึกแล้วออกจาก BIOS
  8. รอให้ Windows บู๊ตใน Safe Mode
  9. เปิด msconfig
  10. เลือกแท็บ Boot
  11. ลบเครื่องหมายที่ Safe boot
  12. คลิก OK แล้วทำการรีสตาร์ท
  13. รอให้ Windows บู๊ตตามปกติ
  14. เปิด KSM แล้วอัพเดตเฟิร์มแวร์ของไดรฟ์

หลังจากทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถสลับโหมดการจัดเก็บข้อมูลกลับเป็น RAID ได้จาก BIOS

FAQ: KSD-001525-001-01

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

ทำไม KSM จึงเกิดปัญหาในการอัปเดตเฟิร์มแวร์กับ Kingston NVMe SSD ของฉัน
A. เครื่องของคุณอาจมีการโหลดไดรเวอร์ Intel RST แทนที่จะเป็น Microsoft NVMe ขณะนี้มีปัญหาด้านการรองรับการทำงานกับไดรเวอร์ Intel RST ที่กระทบกับคำสั่งอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ NVMe นอกจากนี้ KSM อาจจะรองรับเฉพาะระบบที่ใช้ Windows เท่านั้น ดังนั้น หากคุณพยายามเปิด KSM บนระบบ macOS หรือ Linux ระบบปฏิบัติการเหล่านี้จะใช้ร่วมกับ KSM ไม่ได้

FAQ: KSM-001125-002-01

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เฟิร์มแวร์ SSD คือซอฟต์แวร์ที่อยู่ใน SSD และทำหน้าที่จัดการการทำงานของไดรฟ์ รวมทั้งสื่อสารกับระบบโฮสต์ จัดเก็บและเรียกค้นข้อมูล ปรับระดับความสึกหรอให้เสมอกัน และแก้ไขข้อผิดพลาด Kingston แนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

หาก SSD ของคุณต้องอัปเดตเป็นเฟิร์มแวร์ล่าสุด คุณจะได้รับการแจ้งเตือนตอนที่เปิดซอฟต์แวร์ SSD Manager ของ Kingston ดูได้จากที่นี่: www.kingston.com/ssdmanager

FAQ: KSD-012010-001-11

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

คุณสามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของไดรฟ์ผ่านกล่อง USB ได้ แต่ Kingston ไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น ขั้นตอนการอัปเดตที่ถูกต้องจำเป็นต้องเชื่อมต่อ SSD เป้าหมายเข้ากับพอร์ตของระบบ (เช่น SATA หรือ NVMe) โดยตรง

FAQ: KSD-012010-001-14

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

ปัจจุบัน Kingston ยังไม่มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ใน DOS

FAQ: KSD-012010-001-12

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

การอัปเดต SSD จะไม่ลบข้อมูลออกจากไดรฟ์ ยกเว้นมีการระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ก่อนจะอัปเดตเฟิร์มแวร์ SSD แต่ละครั้ง Kingston แนะนำให้สำรองข้อมูลทั้งหมดในไดรฟ์นั้นก่อน แล้วค่อยทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์

FAQ: KSD-012010-001-13

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เมื่อคุณโคลนข้อมูลไปยังไดรฟ์ใหม่ที่มีความจุมากกว่าไดรฟ์ต้นทาง ซอฟต์แวร์อาจจะคำนวณขนาดพาร์ติชันไม่ถูกต้อง หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สุดท้ายก็จะเหลือพื้นที่ที่ได้ไม่ได้นำมาใช้งาน หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โปรดทำตามคำแนะนำการโคลนของเราที่นี่: www.kingston.com/cloning

FAQ: KSD-012010-001-04

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

อันดับแรก คุณควรตรวจสอบยืนยันก่อนว่าระบบมองเห็น SSD ใน BIOS โดยเข้าสู่ BIOS (ส่วนใหญ่ต้องใช้ปุ่ม Del, F2, F10 หรือ F12) จากนั้นไปที่เมนูการกำหนดค่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และดูว่าไดรฟ์ปรากฎอยู่หรือไม่และระบุอย่างถูกต้องหรือไม่  หากไม่มีไดรฟ์ปรากฏอยู่ ให้ปิดเครื่อง ตรวจสอบการติดตั้งและการเชื่อมต่อไดรฟ์ ยืนยันว่าไดรฟ์ติดตั้งเข้าที่ดีแล้วและ/หรือเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง

หากเจอไดรฟ์ใน BIOS คุณอาจจะต้องเริ่มการทำงานของไดรฟ์ภายในระบบปฏิบัติการ

สำหรับ Windows:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Windows OS
ขั้นตอนที่ 2: กดปุ่ม Windows + X แล้วเลือก Disk Management
ขั้นตอนที่ 3: หากเป็น SSD ใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้งาน หน้าต่างป๊อปอัปจะปรากฏขึ้นมา พร้อมข้อความ "Initialize Disk"
ขั้นตอนที่ 4: เลือกระหว่าง
MBR (Master Boot Record): เหมาะกับไดรฟ์ที่มีความจุไม่ถึง 2TB และอุปกรณ์แบบเก่า
GPT (GUID Partition Table): แนะนำสำหรับอุปกรณ์สมัยใหม่และไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่า 2TB
ขั้นตอนที่ 5: คลิก “OK” เพื่อเริ่มการทำงานของดิสก์
ขั้นตอนที่ 6: หลังจากเริ่มการทำงาน คุณจะเห็นว่า SSD ของคุณเป็น "Unallocated” ให้คลิกขวา แล้วเลือก New Simple Volume
ขั้นตอนที่ 7: ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อฟอร์แม็ตและกำหนดตัวอักษรระบุไดรฟ์ให้กับ SSD

สำหรับ Mac OS:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Mac OS
ขั้นตอนที่ 2: เปิด Disk Utility (โดยใช้ Spotlight ร่วมกับปุ่ม Cmd + Space จากนั้นพิมพ์ "Disk Utility")
ขั้นตอนที่ 3: เลือก SSD ของคุณจากแผงทางซ้ายมือ
ขั้นตอนที่ 4: คลิก Erase
ขั้นตอนที่ 5: ตั้งชื่อไดรฟ์ จากนั้นเลือกตัวเลือกต่อไปนี้ใต้ Format
APFS หากเป็น Mac รุ่นเก่าและ SSD
Mac OS Extended (Journaled) หากเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือ HDD
ขั้นตอนที่ 6: คลิก Erase หลังจากนั้น SSD ก็จะพร้อมใช้งาน

สำหรับ Linux:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Linux
ขั้นตอนที่ 2: เปิดเทอร์มินัล
ขั้นตอนที่ 3: ป้อนคำสั่ง sudo fdisk -l เพื่อแสดงไดรฟ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่ มองหา SSD ของคุณจากขนาดของไดรฟ์ แล้วจดชื่อของไดรฟ์ไว้ เช่น /dev/sdb
ขั้นตอนที่ 4: เริ่มการทำงานของไดรฟ์โดยใช้คำสั่ง fdisk หรือ parted ต่อไปนี้คือคำแนะนำเบื้องต้นในการใช้คำสั่ง fdisk:
ป้อน sudo fdisk /dev/sdb (แทนที่ /dev/sdb ด้วยชื่อไดรฟ์ SSD ของคุณ)
กด g เพื่อสร้างตารางพาร์ติชัน GPT ใหม่
กด n เพื่อสร้างตารางพาร์ติชันใหม่ ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อระบุขนาดและประเภทไดรฟ์
กด w เพื่อเขียนการเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนที่ 5: กำหนดรูปแบบพาร์ติชันใหม่บน SSD (เช่น /dev/sdb1) คุณสามารถกำหนดรูปแบบเป็นระบบไฟล์ที่ต้องการดังต่อไปนี้:
สำหรับ ext4: sudo mkfs.ext4 /dev/sdb1
สำหรับ ext3: sudo mkfs.ext3 /dev/sdb1
สำหรับ FAT32: sudo mkfs.vfat /dev/sdb1
ขั้นตอนที่ 6: ติดตั้งใช้งาน SSD:
สร้างจุดติดตั้งใช้งาน: sudo mkdir /mnt/myssd
ติดตั้งใช้งาน SSD: sudo mount /dev/sdb1 /mnt/myssd
อย่าลืมแทนที่ /dev/sdb1 ด้วยชื่อพาร์ติชันของ SSD

FAQ: KSD-012010-001-15

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

กล่องดิสก์แบบต่อพ่วงมีอยู่มากมายในท้องตลาด ถึงแม้ว่า Kingston จะต้องการให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานกับระบบทุกประเภท แต่บางครั้งผลิตภัณฑ์ของเราก็ใช้งานกับบางระบบไม่ได้ หากคุณประสบปัญหาในการใช้งานกล่อง SSD แบบต่อพ่วง คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นกล่องชนิดใหม่

FAQ: KSD-012010-001-18

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เมื่อคุณโคลนข้อมูลไปยังไดรฟ์ใหม่ที่มีความจุมากกว่าไดรฟ์ต้นทาง ซอฟต์แวร์อาจจะคำนวณขนาดพาร์ติชันไม่ถูกต้อง หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สุดท้ายก็จะเหลือพื้นที่ที่ได้ไม่ได้นำมาใช้งาน หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โปรดทำตามคำแนะนำการโคลนของเราที่นี่: www.kingston.com/cloning

FAQ: KSD-012010-001-04

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

เฟิร์มแวร์ SSD คือซอฟต์แวร์ที่อยู่ใน SSD และทำหน้าที่จัดการการทำงานของไดรฟ์ รวมทั้งสื่อสารกับระบบโฮสต์ จัดเก็บและเรียกค้นข้อมูล ปรับระดับความสึกหรอให้เสมอกัน และแก้ไขข้อผิดพลาด Kingston แนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

หาก SSD ของคุณต้องอัปเดตเป็นเฟิร์มแวร์ล่าสุด คุณจะได้รับการแจ้งเตือนตอนที่เปิดซอฟต์แวร์ SSD Manager ของ Kingston ดูได้จากที่นี่: www.kingston.com/ssdmanager

FAQ: KSD-012010-001-11

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้ SSD ตัวใหม่กลายเป็นบู๊ตไดรฟ์ก็คือทำให้ SSD นั้นเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเพียงตัวเดียวในระหว่างการติดตั้ง
แต่หากทำแบบนั้นไม่ได้หรือหากคุณเคยโคลนข้อมูลเก่าไปยังไดรฟ์นั้นมาก่อน ยืนยันว่าไดรฟ์ใหม่ปรากฏเป็นอุปกรณ์บู๊ตใน BIOS ของระบบ จากนั้นเลือกไดรฟ์นั้นระหว่างการบู๊ตเครื่อง

FAQ: KSD-012010-001-03

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

กล่องดิสก์แบบต่อพ่วงมีอยู่มากมายในท้องตลาด ถึงแม้ว่า Kingston จะต้องการให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานกับระบบทุกประเภท แต่บางครั้งผลิตภัณฑ์ของเราก็ใช้งานกับบางระบบไม่ได้ หากคุณประสบปัญหาในการใช้งานกล่อง SSD แบบต่อพ่วง คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นกล่องชนิดใหม่

FAQ: KSD-012010-001-18

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

อันดับแรก คุณควรตรวจสอบยืนยันก่อนว่าระบบมองเห็น SSD ใน BIOS โดยเข้าสู่ BIOS (ส่วนใหญ่ต้องใช้ปุ่ม Del, F2, F10 หรือ F12) จากนั้นไปที่เมนูการกำหนดค่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และดูว่าไดรฟ์ปรากฎอยู่หรือไม่และระบุอย่างถูกต้องหรือไม่  หากไม่มีไดรฟ์ปรากฏอยู่ ให้ปิดเครื่อง ตรวจสอบการติดตั้งและการเชื่อมต่อไดรฟ์ ยืนยันว่าไดรฟ์ติดตั้งเข้าที่ดีแล้วและ/หรือเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง

หากเจอไดรฟ์ใน BIOS คุณอาจจะต้องเริ่มการทำงานของไดรฟ์ภายในระบบปฏิบัติการ

สำหรับ Windows:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Windows OS
ขั้นตอนที่ 2: กดปุ่ม Windows + X แล้วเลือก Disk Management
ขั้นตอนที่ 3: หากเป็น SSD ใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้งาน หน้าต่างป๊อปอัปจะปรากฏขึ้นมา พร้อมข้อความ "Initialize Disk"
ขั้นตอนที่ 4: เลือกระหว่าง
MBR (Master Boot Record): เหมาะกับไดรฟ์ที่มีความจุไม่ถึง 2TB และอุปกรณ์แบบเก่า
GPT (GUID Partition Table): แนะนำสำหรับอุปกรณ์สมัยใหม่และไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่า 2TB
ขั้นตอนที่ 5: คลิก “OK” เพื่อเริ่มการทำงานของดิสก์
ขั้นตอนที่ 6: หลังจากเริ่มการทำงาน คุณจะเห็นว่า SSD ของคุณเป็น "Unallocated” ให้คลิกขวา แล้วเลือก New Simple Volume
ขั้นตอนที่ 7: ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อฟอร์แม็ตและกำหนดตัวอักษรระบุไดรฟ์ให้กับ SSD

สำหรับ Mac OS:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Mac OS
ขั้นตอนที่ 2: เปิด Disk Utility (โดยใช้ Spotlight ร่วมกับปุ่ม Cmd + Space จากนั้นพิมพ์ "Disk Utility")
ขั้นตอนที่ 3: เลือก SSD ของคุณจากแผงทางซ้ายมือ
ขั้นตอนที่ 4: คลิก Erase
ขั้นตอนที่ 5: ตั้งชื่อไดรฟ์ จากนั้นเลือกตัวเลือกต่อไปนี้ใต้ Format
APFS หากเป็น Mac รุ่นเก่าและ SSD
Mac OS Extended (Journaled) หากเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือ HDD
ขั้นตอนที่ 6: คลิก Erase หลังจากนั้น SSD ก็จะพร้อมใช้งาน

สำหรับ Linux:
ขั้นตอนที่ 1: ยืนยันว่าเชื่อมต่อไดรฟ์ถูกต้องแล้ว จากนั้นเปิดเครื่องและบู๊ตเครื่องเข้าสู่ Linux
ขั้นตอนที่ 2: เปิดเทอร์มินัล
ขั้นตอนที่ 3: ป้อนคำสั่ง sudo fdisk -l เพื่อแสดงไดรฟ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่ มองหา SSD ของคุณจากขนาดของไดรฟ์ แล้วจดชื่อของไดรฟ์ไว้ เช่น /dev/sdb
ขั้นตอนที่ 4: เริ่มการทำงานของไดรฟ์โดยใช้คำสั่ง fdisk หรือ parted ต่อไปนี้คือคำแนะนำเบื้องต้นในการใช้คำสั่ง fdisk:
ป้อน sudo fdisk /dev/sdb (แทนที่ /dev/sdb ด้วยชื่อไดรฟ์ SSD ของคุณ)
กด g เพื่อสร้างตารางพาร์ติชัน GPT ใหม่
กด n เพื่อสร้างตารางพาร์ติชันใหม่ ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อระบุขนาดและประเภทไดรฟ์
กด w เพื่อเขียนการเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนที่ 5: กำหนดรูปแบบพาร์ติชันใหม่บน SSD (เช่น /dev/sdb1) คุณสามารถกำหนดรูปแบบเป็นระบบไฟล์ที่ต้องการดังต่อไปนี้:
สำหรับ ext4: sudo mkfs.ext4 /dev/sdb1
สำหรับ ext3: sudo mkfs.ext3 /dev/sdb1
สำหรับ FAT32: sudo mkfs.vfat /dev/sdb1
ขั้นตอนที่ 6: ติดตั้งใช้งาน SSD:
สร้างจุดติดตั้งใช้งาน: sudo mkdir /mnt/myssd
ติดตั้งใช้งาน SSD: sudo mount /dev/sdb1 /mnt/myssd
อย่าลืมแทนที่ /dev/sdb1 ด้วยชื่อพาร์ติชันของ SSD

FAQ: KSD-012010-001-15

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

คุณสามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของไดรฟ์ผ่านกล่อง USB ได้ แต่ Kingston ไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น ขั้นตอนการอัปเดตที่ถูกต้องจำเป็นต้องเชื่อมต่อ SSD เป้าหมายเข้ากับพอร์ตของระบบ (เช่น SATA หรือ NVMe) โดยตรง

FAQ: KSD-012010-001-14

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

การอัปเดต SSD จะไม่ลบข้อมูลออกจากไดรฟ์ ยกเว้นมีการระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ก่อนจะอัปเดตเฟิร์มแวร์ SSD แต่ละครั้ง Kingston แนะนำให้สำรองข้อมูลทั้งหมดในไดรฟ์นั้นก่อน แล้วค่อยทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์

FAQ: KSD-012010-001-13

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

ปัจจุบัน Kingston ยังไม่มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ใน DOS

FAQ: KSD-012010-001-12

บริการนี้เป็นประโยชน์หรือไม่

Still Need Assistance?

ติดต่อฝ่ายบริการทางเทคนิค

Monday-Friday 6 a.m.-6 p.m. PT

+1 (800)435-0640